การสื่อสารที่ไม่ใช่คำพูดหรือที่เรียกว่า
“ภาษากาย”
เป็นการสื่อความหมายได้เช่นเดียวกับภาษาพูด
บางครั้งภาษากายก็เชื่อถือได้มากกว่าคำพูดซะอีกนะคะ
เพราะภาษากายอาจช่วยเปิดเผยถึงความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงของคนคนนั้นได้ เนื่องจากคนเรามักไม่ตระหนักว่าตนเองกำลังสื่อสารโดยปราศจากคำพูดอยู่ ภาษากายจึงซื่อตรงมากกว่าคำพูดที่พูดออกมาจากปาก คุณว่าจริงไหมล่ะคะ?
ในภาษาอังกฤษเราเรียกภาษากายว่า Body language
ซึ่งเราสามารถแยกย่อยออกมาได้หลายรูปแบบเลยค่ะ ตั้งแต่การลักษณะวางท่า การแสดงสีหน้า
การเคลื่อนไหวของดวงตา ไปจนถึงการแต่งกาย คุณคงเคยได้ยินคำว่า posture กับ gesture ใช่ไหมคะ หากเราอ้างอิงตามพจนานุกรมแล้วจะเห็นได้ว่า
2 คำนี้มีความหมายใกล้เคียงกันจึงอาจจะทำให้บางคนสับสน เนื่องจากพจนานุกรมบางเล่มไม่ได้ให้คำอธิบายที่ชัดเจนมากพอ แต่จริงๆ แล้ว 2 คำนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนค่ะ
กล่าวคือ posture เป็นการวางท่าขณะที่เรายืน
เดิน นั่ง นอน ฯลฯ ตามสมดุลของร่างกายและบุคลิกเฉพาะตัวของแต่ละคน เช่น การยืนไหล่ตก การยืนแอ่นอก หรือการนั่งหลังค่อม
เป็นต้น ส่วน gesture คือ
อวจนภาษาที่มนุษย์แสดงออกมาเพื่อสื่อถึงความรู้สึกนึกคิด บางครั้งก็ใช้แทนคำพูด
บางครั้งก็แสดงออกมาขณะที่พูด เช่น การส่ายหัว การชี้ไม้ชี้มือ
การยืนกอดอก การยืนเท้าสะเอว เป็นต้น ทีนี้เห็นความแตกต่างหรือยังคะ?
gesture ต่างๆ
ที่มนุษย์แสดงออกมานั้นจะเป็นตัวบ่งบอกว่าคนๆ
นั้นกำลังคิดอะไรอยู่หรือรู้สึกอย่างไร เช่น wink คือการขยิบตาเพื่อส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
straight face คือใบหน้าเรียบเฉย
ไม่รู้สึกสนใจหรือรู้สึกมีอารมณ์ขัน snarl คือ
การพูดคำรามเพื่อแสดงความโกรธหรือความไม่พอใจ grin คือ การยิ้มกว้างเห็นไรฟัน ซึ่งมักจะแสดงออกเมื่อมีความสุขหรือมีอารมณ์ขัน frown คือ การขมวดคิ้ว
เพื่อแสดงความไม่พอใจหรือแสดงความสงสัย scowl คือ การทำหน้าบึ้งเพื่อแสดงความไม่ชอบใจ gape คือ การอ้าปากค้างอยากประหลาดใจ wince คือ สีหน้าแสดงความเจ็บปวดอย่างกะทันหัน biting nails คือ การกัดเล็บเมื่อรู้สึกประหม่า tapping or drumming
fingers คือการเคาะนิ้วเมื่อเริ่มรู้สึกทนไม่ไหว
rubbing hands คือการถูมือไปมาเพื่อแสดงความกระตือรือร้นในการร่วมมือทำอะไรบางอย่าง
หรือไม่ก็เป็นการแสดงความพึงพอใจ(หรือบางทีอาจจะหนาว?) และ
Patting/fondling hair คือการลูบผม
เพราะรู้สึกขาดความมั่นใจหรือรู้สึกไม่มั่นคง เป็นต้น
ผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงจะเคยแสดง gesture เหล่านี้ออกมาบ้างไม่มากก็น้อยสินะคะ แหม...
ถ้าไม่เคยก็แปลกแล้วล่ะค่ะ
นอกจากนี้ในภาษาอังกฤษยังมี idiom ที่เกี่ยวกับภาษากายอยู่ด้วยนะคะ ในที่นี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสำนวนที่น่าสนใจมาสัก
5 สำนวนก็แล้วกันค่ะ
1. To turn your back on someone แปลว่า ไม่แยแสหรือไม่ไยดี เช่น Her mother turned her back on her once she decided
to marry the man that her mother hated.
2. To give the thumbs up แปลว่า แสดงความเห็นด้วยหรือสนับสนุน เช่น The CEO gave the thumbs up to the new project; we
started it the following day.
3. To twist one’s arm แปลว่า บังคับเข็ญใจ เช่น When John asked me for a drink I said no but he really twisted
my arm.
4. To think on one’s feet แปลว่า คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น I never know what is going to
happen in my job; I always have to think on my feet.
5. To risk one’s neck แปลว่า เอาชีวิตเข้าเสี่ยง เช่น She really risked her neck
when she made that suggestion. Everyone was against her but she managed to
change their minds.
เป็นอย่างไรบ้างคะคุณผู้อ่าน
คุณคงจะเห็นแล้วว่าภาษากายนั้นบอกอะไรเราได้มากมายแค่ไหน หากคุณเข้าใจภาษากายแล้ว คุณจะมองเห็นโลกรอบตัวได้ลึกซึ้งมากขึ้นค่ะ
เพราะภาษาพูดและภาษากายต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน หากคุณสามารถทำความเข้าใจได้ทั้งสองภาษาแล้ว
การสื่อสารระหว่างผู้อื่นของคุณจะมีความชัดเจนและประสิทธิภาพมากขึ้นแน่ๆ ค่ะ
Pictures from
www.clickjobs.com
takeyourtips.com
psychology.about.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น